วันจันทร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2550

ข้อสอบ

กลุ่มคำถามเกี่ยวกับความเข้าใจ
คำถามข้อที่ ๑คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนนหากนักศึกษาจำเป็นที่จะต้องอธิบายให้กับบุคคลทั่วไปเข้าใจถึงความสัมพันธ์ระหว่างคอนเซ็ปท์และไอเดีย นักศึกษาจะมีวิธีการอย่างไรในการอธิบายอย่างกระชับและแยบยล เพื่อให้สามารถทำความเข้าใจได้อย่างง่ายๆ และถูกต้อง

ตอบ คอนเซ็ปท์ คือ สิ่งที่เป็นนามธรรม มวลความคิด ที่ใช้อธิบายสาระสำคัญของสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เช่น คอนเซ็ปท์ ของ หมวก คือ สิ่งที่สวมบริเวณศรีษะสำหรับกันเเดด
ไอเดีย ของ หมวก คือ หมวกเเก๊ป หมวกชายหาด หมวกเปิดกลางศรีษะ

คำถามข้อที่ ๒คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนนจงอธิบายและให้คำจำกัดความของการเปลี่ยนแปลงสถานะของคอนเซ็ปท์ ยกตัวอย่างที่สามารถเสนอการนำไปใช้ประโยชน์ที่เป็นรูปธรรม โดยใช้หลักการที่ได้เรียนรู้จากการบรรยายในวิชานี้ตอบคำถามอย่างเป็นเหตุและผล

ตอบ การเปลี่ยนเเปลงสถานะของคอนเซ็ปท์ (subverd) คือ การที่คอนเซ็ปท์ ของสิ่งใดสิ่งหนึ่งถูกเปลี่ยนสถานะ เเต่ ไอเดีย ของสิ่งนั้นไม่เปลี่ยน
เช่น การนำเสื้อไปทำผ้าถูบ้าน
คอนเซ็ปท์ ของ เสื้อ คือ เครื่องนุ่งห่มสำหรับปกปิดร่างกาย
ไอเดีย ของ เสื้อ คือ เสื้อ


เเต่เมื่อนำเสื้อมาทำผ้าถูบ้าน
คอนเซ็ปท์ ของ เสื้อ ถูกเปลี่ยนเป็น อุปกรณ์ทำความสะอาด
ไอเดีย ของ เสื้อ คือ เสื้อ
คำถามข้อที่ ๓คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนนศิลปะและการออกแบบมีข้อแตกต่างกันอย่างไร จากเหตุผลส่วนตัวของนักศึกษา งานฝีมือนับว่าเป็นงานออกแบบได้หรือไม่

ตอบ ศิลปะและการออกแบบต่างกันที่จุดประสงค์การทำงาน คือ
ศิลปะ มีจุดประสงค์การทำงานเพื่อสนองความต้องการของตัวผู้วาดเอง ไม่เกี่ยวข้องกับการค้าเชิงธุระกิจ จึงต้องศึกษาความคิดของตัวศิลปินหรือ
ผู้วาดโดยตรงจึงจะเข้าใจงานนั้น

ออกแบบ มีจุดประสงค์การทำงานในเชิงธุระกิจ มีการเเข่งขัน ลงทุนให้เกิดผลผลประโยชน์ส่วนรวม จึงทำให้มีการจัดตั้งสถาบันสอนโดยตรง มีหลัก การสอน

คิดว่า งานฝีมือไม่นับว่าเป็นการออกเเบบ เพราะ
งานฝีมือ มีจุดประสงค์ทำขึ้นเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง เป็นงานประดิษโดยใช้ฝีมือ เป็นงานอดิเรกของผู้ทำ เช่น การปักผ้า การทำโมเสก


คำถามข้อที่ ๔คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนนไอคอน (Icon) คืออะไร เกิดขึ้นได้อย่างไร กรุณาอธิบายให้ง่ายและกระชับสำหรับผู้ที่ไม่มีความเข้าใจในเรื่องนี้มาก่อน

ตอบ ไอคอน (Icon) คือ สิ่งใดสิ่งหนึ่งที่ช่วยทำให้คนกลุ่มกว้างเข้าใจตรงกัน ซึ่งไอคอน (Icon) เกิดจากการที่คนส่วนใหญ่ตั้งคำถาม กับ
สิ่งสิ่งหนึ่ง
ตย. ไอคอน (Icon)ของศาสนาคริสต์คือ ไม้กางเขน
ไอคอน (Icon)ของศาสนเปรี้ยวคือ มะนาว

คำถามข้อที่ ๕คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนนแรงบันดาลใจกับจินตนาการเกี่ยวข้องกันในลักษณะใด

ตอบ จินตนาการ คือความคิดที่ทุกคนต้องการอยากหรือไม่อยากให้เป็น ทำให้เกิดเเรงบันดาลใจ(เเรงขับเคลื่อนในตัวเอง)
ในการทำให้สิ่งที่จินตนาการเป็นความจริง ทำให้เกิดสิ่งใหม่

เช่นเรามีจินตนาการต่อไปคนจะลอยได้ จึงทำให้เรามีเเรงบันดาลใจต่อไปว่าเราจะศึกษาหาวิธีทำให้คนลอยได้ จึงมีการคิดทำบอลลูนขึ้นมา
เพื่อให้คนลอยบนท้องฟ้าได้

กลุ่มคำถามเชิงวิเคราะห์ และสังเคราะห์
คำถามข้อที่ ๑คะแนนเต็ม ๑๐ คะแนนจงอธิบายความแตกต่างระหว่างคอนเซ็ปท์ของตู้กับข้าวและตู้เย็น ทั้งสองอยู่บนคอนเซ็ปท์เดียวกันหรือไม่ หากนักศึกษาคิดว่าทั้งสองสิ่งอยู่บนคอนเซ็ปท์เดียวกัน กรุณาแจกแจงเหตุและผลอย่างเป็นขั้นตอน

ตอบ ทั้ง2อยู่บนคอนเซ็ปท์เดียวกัน
คอนเซ็ปท์ของตู้กับข้าว คือ ที่เก็บอาหาร
ไอเดียของตู้ คือ ตู้กับข้าว

เเต่ต่อมาเทคโนโลยีได้ก้าวหน้าทำให้มีการพัตนาตู้กับข้าวจากการเก็บอาหารอย่างเดียว ให้มีการถนอมอาหารด้วย ทำให้
คอนเซ็ปท์ของตู้กับข้าว เปลี่ยนมาเป็น ที่เก็บเเละถนอมอาหารด้วยความเย็น
ไอเดียของตู้ คือ ตู้กับข้าว เปลี่ยนมาเป็น ตู้เย็น


คำถามข้อที่ ๓คะแนนเต็ม ๒๐ คะแนนการเปลี่ยนแปลงของโทรศัพท์จากระบบแอนนาลอคมาสู่ระบบดิจิตอล มีข้อสังเกตุที่น่าสนใจอย่างไร? ตอบโดยใช้ฐานความรู้เรื่องคอนเซ็ปท์ และไอเดีย ที่ได้เรียนจากห้องเรียนมาวิเคราะห์ และสังเคราะห์ เทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันที่ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมีผลต่อการออกแบบเพื่อการสื่อสาร (Communication Design) อย่างไร ?

ตอบ คอนเซ็ปท์ของโทรศัพท์ คือ การสื่อสารด้วยเสียง
ไอเดียของโทรศัพท์ คือ โทรศัพท์

โทรศัพท์อนาลอก เช่น โทรศัพท็ตู้ โทรศัพท์บ้านสมัยก่อนที่ใช้มือหมุน
1. โทรศัพท์ที่ส่งเเละรับสัญญาณเสียงพูดทั้งหมดด้วยรูปเเบบของกระเเสไฟฟ้า
2. มีเสียงเรียกเข้าเป็นเสียงกระดิ่ง เท่านั้น
3. ไม่เเสดงหมายเลขของผู้โทรมา
4. รับส่งภาพ เมล์ไม่ได้
5.บันทึกเสียงไม่ได้

โทรศัพท์ดิจิตอรเช่น โทรศัพท์มือถือในปัจจุบัน
1. เเสดงหมายเลขของผู้โทรมา
2. มีเสียงเรียกเข้าหลายเเบ เช่น เสียงงเพลง
3. รับส่งภาพ เมล์

4. บันทึกเสียงได้

เทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันที่ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมีผลต่อเทคโนโลยีการสื่อสารในปัจจุบันที่ถูกพัฒนาไปอย่างรวดเร็วมีผลต่อ
การออกแบบเพื่อการสื่อสาร
1. ทำให้ การออกแบบมีการนำออกสู่สายตาผู้อื่นได้กว้าง เเละสะดวกขึ้น
2. ทำให้เพิ่มงานออกเเบบมากขึ้น เช่น ออกเเบบบนเวปไซร์

คำถามข้อที่ ๔คะแนนเต็ม ๒๐ คะแนนจงเปรียบเทียบระหว่างการพูดและการเขียน (Speech VS Writing) อธิบายด้วยความเข้าใจจากองค์ประกอบต่างๆที่ได้จากการเรียนในวิชานี้

ตอบ คอนเซปต์ของ การพูด คือ การสื่อสารด้วยเสียง เเต่ คอนเซปต์ของ การเขียน คือ การสื่อสารด้วยข้อความ
ไอเดียของ การพูด คือ โทรศัพท์ ไอเดียของ การเขียน คือ จดหมาย


การพูด 1.ไม่มีการวิเคราะห์ สังเคราะก่อน
2. ไม่ต้องมีการบันทึก


การเขียน 1.มีการวิเคราะห์ สังเคราะจากสมองก่อนเขียน
2. ต้องมีอุปกรณ์การบันทึก
3. ต้องรู้จักภาษาพูดก่อนถึงเขียนได้

4. มีการลำดับข้อความก่อน

รุจิรา สว่างสิทธิโชติ (ไอ) 1470803303

วันจันทร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2550

โฟม คืออะไร


"โฟม" เป็นคำที่รู้จักกันทั่วไปซึ่งในความเป็นจริงแล้วมีความหมายกว้างมาก หากพิจารณาตามคำแปลหมายถึง "ฟู"


โฟมในที่นี้หมายถึงพลาสติกที่ฟูหรือขยายตัว พลาสติกมากมายหลายประเภท และในบรรดาพลาสติกหลายประเภท ที่มีในโลกนั้น

หากผ่านกระบวนการที่ใช้สารขยายตัว (Blowing Agent) ก็จะทำให้พลาสติกนั้นกลายเป็นโฟมได้ ซึ่งเรียกกันทั่วไปว่า Foam Plastic

ตัวอย่างของโฟมพลาสติกที่รู้จักกันทั่วไป เช่น ฟองน้ำ กล่องโฟมใส่อาหาร โฟมแผ่น โฟมฉีดพ่นเพื่อเป็นฉนวน เป็นต้น

ซึ่งโฟมพลาสติกเหล่านี้ล้วนแต่ผลิตจากพลาสติกแตกต่างประเภทกันไป


ในที่นี้จะหมายถึงโฟมที่ผลิตจากพลาสติกประเภท Polystyrene / PS เท่านั้น ซึ่งใช้ทำกล่องโฟมใส่อาหาร และ โฟมลอยกระทง เป็นต้น ซึ่งโฟมพลาสติกประเภท Polystyrene / PS มี 2 ประเภทหลักคือ
1. Expandable Polystyrene / EPS ซึ่งใช้บรรจุสินค้ามีค่าต่างๆ เช่น โทรศัพท์ ตู้เย็น เครื่องใช้ไฟฟ้า และ หมวกกันน็อค โฟมกล่องน้ำแข็ง รวมถึงโฟมแผ่นและโฟมก้อนที่ใช้ทำถนนเป็นต้น

2. Polystyrene Paper / PSP ที่ใช้ทำถาดหรือกล่องโฟมบรรจุอาหาร


กระบวนการผลิตโฟมเป็นอย่างไร
1. Expandable Polystyrene / EPS คือโฟม PS ที่ใช้ก๊าซ Pentane (C5H12) ซึ่งเป็นตระกูลเดียวกับ ก๊าซหุงต้ม หรือ Butane (C4H10) เป็นสารที่ทำให้ขยายตัว (Blowing Agent) ในระหว่าง
กระบวนการผลิตที่เรียกว่า Polymerization เนื้อพลาสติก PS จะทำปฎิกิริยา กักเก็บก๊าซ Pentane เอาไว้ภายใน เมื่อนำมาผลิตโฟม EPS วัตถุดิบจะขยายตัวเมื่อได้ความร้อนจากไอน้ำ (Steam) กลายเป็นเม็ดโฟมขาวๆ จากนั้นจึงนำไปขึ้นรูป (Molding) ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ - อัดขึ้นรูปเป็นรูปร่างต่างๆ ตามลักษณะแม่พิมพ์ที่ทำ (Shape Molding) เช่น เป็นกล่องน้ำแข็ง และบรรจุภัณฑ์ ต่างๆ - อัดขึ้นรูปเป็นก้อนสี่เหลี่ยม ( Block Molding) แล้วนำมาตัดตามขนาดและรูปร่างที่ต้องการ โดยทั่วไป โฟม EPS จะขยายตัวประมาณ 50เท่า และเมื่อขยายตัวแล้วจะมีอากาศเข้ามาแทนที่ถึง 98 % ของปริมาตร มีเพียง 2 % เท่านั้นที่เป็นเนื้อพลาสติก PS และนี่คือสาเหตุที่ทำให้โฟมมีขนาดใหญ่แต่กลับมีน้ำหนักเบา

คุณลักษณะนี้เองที่ทำให้โฟม EPS สามารถรองรับแรงกระแทกได้อย่างดี เหมาะสำหรับใช้ในการบรรจุสินค้า และยังรองรับการถ่ายเทน้ำหนักในแนวดิ่งโดยไม่เสียรูปทรง จึงสามารถใช้เป็นวัสดุในการทำถนน เพื่อแก้ปัญหาถนนทรุด และยังใช้เป็นฉนวนรักษาความร้อนและเย็น เนื่องจากอากาศที่มีอยู่ภายในถึง 98 % ทำหน้าที่เป็นฉนวนได้อย่างดี

2. Polystyrene Paper / PSP คือโฟม PS ที่ใช้ก๊าซหุงต้มหรือ Butane (C4H10) เป็นสารที่ทำให้ขยายตัว วัตถุดิบที่ใช้ ก็คือเม็ดพลาสติก PS ทั่วไป ซึ่งเข้าสู่ระบบการฉีดโดยใช้สกรูซึ่งมีความร้อนจากไฟฟ้าเช่นเดียวกับ การฉีดพลาสติกทั่วไป
(Screw Extrusion) เมื่อเม็ดพลาสติก PS ผ่านสกรูความร้อนก็จะหลอมตัว ขณะที่จะออกจากปลายสกรูก็จะถูกฉีดก๊าซ Butane (C4H10) ซึ่งก็คือแก๊สหุงต้มที่ใช้ตามครัวเรือนผสมเข้าไปทำปฎิกิริยาให้พลาสติกที่กำลังหลอมนั้นเกิดการขยายตัวประมาณ 20 เท่า ฉีดออกเป็นแผ่นแล้วม้วนเข้าคล้ายม้วนกระดาษ (จึงเรียกว่า Polystyrene Paper / PSP) จากนั้นก็จะนำม้วนโฟม PSP ที่ได้ ไปขึ้นรูปด้วยความร้อนตามลักษณะแม่พิมพ์ (Thermal Forming) เช่นเป็นกล่องใส่อาหารหรือถาดเป็นต้น


สรุปได้ว่าโฟมนั้นก็คือ พลาสติกที่ผ่านกระบวนการที่ใช้สารขยายตัว สามารถรองรับแรงกระแทกได้อย่างดี เหมาะสำหรับใช้ในการบรรจุสินค้า และยังรองรับการถ่ายเทน้ำหนักในแนวดิ่งโดยไม่เสียรูปทรง และยังใช้เป็นฉนวนรักษาความร้อนและเย็น

วันศุกร์ที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2550

ความคาดหวังก่อนเรียน

วิชานี้คือการเรียนอะไรในความคิดเรา ?

อาจาร์ยส่วนใหญ่เล่ามาว่า วิชานี้เป็นการศึกษาเเนวคิดของศิลปิน

ในการออกเเบบ หรือคิดงาน(ถ้าในด้านศิลปนะ)

เเต่ในความคิดของเราเอง

เราคิดว่าการที่เลือกเรียนวิชานี้ เราน่าจะได้เรียนรู้วิธีการ ขั้นตอนการคิดหรือเเม้กระทั้งประเด็นหลักของงาน เเละความคิดส่วนตัวของผู้คิดคนดังกล่าว

เราคิดว่าวิชานี้อาจจะไม่ได้สอนเราเเค่ว่าศิลปินที่ออกเเบบทางศิลปะคิดอะไร เเต่คงจะสอนให้เราเข้าใจคนทุกคนที่คิดงานออกมา ไม่ว่าจะเป็นด้านการเมือง สังคม วิทยาศาสตร์ เละทุกๆงานที่มีการคิดเเละผลิตออกมาในปัจุบัน เเละอดีต

เเละเมื่อเราได้เรียนรู้เเล้วเราก็จะสามารถนำวิธีคิดของพวกเค้ามาคิด เเละประยุกต์ใช้ให้เข้ากับ
การคิดงานของเรา

นอกจากนี้เรายังอาจเข้าใจงานของทุกๆคนที่คิดงานได้มากขึ้นกว่าเดิมเเละเข้าใจอย่างถูกต้องอีกด้วย
เพราะบางครั้งเราดูงานก็ไม่ได้เเปลว่าเราเข้าใจงานทุกงานไปทุกครั้ง

หรือบางครั้งคนที่มาดูงานเราอาจไม่เคยเข้าใจงานเราเลยก็ได้
เเต่เมื่อศึกษาวิชานี้ต่อไปบางคนหรือทุกคนอาจเข้าใจสิ่ที่เราจะเสนอผ่านตัวงานงานขึ้นก็ได้
ซึ่งมันก็เป็นสิ่งที่ดีมากกว่าการเห็นเเล้วไม่เข้าใจเเล้วตอบไปว่ามันสวยเพียงอย่างเดียว